1. Some scientists believe that dinosaurs
become extinct when a huge asteroid fell
on the Earth
A
B C D
ขอวิเคราะห์ทีละข้อเลยแล้วกันนะคะ
ข้อ A คือ Some ทำหน้าที่เป็น
Adjective เพราะอะไร..เพราะว่า Adj คือ คำขยายที่บอกลัีกษณะว่า สูงต่ำดำขาว
เป็นต้น และ Adj. จะขยายคำนามซึ่งมีตำแหน่งวางไว้หน้าคำนามค่ะ
ดูข้างหลังคำว่า some คือ scientists เป็นคำนามค่ะแปลว่า นักวิทยาศาสตร์
ที่เติม s เพราะว่าคำว่า some
สามารถนำหน้าได้ทั้ง คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ค่ะ แต่ในกรณีนี้ some
นำหน้าคำนามนับได้อยู่จึงต้องเติม s เสมอ** จึงทำให้ข้อ A
ถูกแล้วนั่นเองค่ะ :)
ข้อ B
เป็นข้อที่ผิดค่ะ เพราะว่า
คำว่า become ถ้าจะดูตามหลักไวยกรณ์แล้วเนี่ยจะถูกเพราะว่า become ทำหน้าที่เป็น
Verb หรือ กริยาค่ะ มองย้อนกลับไปคำว่า dinosaurs และตามด้วย become ตามหลักไวยกรณ์แล้วจะถูกนะคะรูปนี้
เพราะว่า ถ้า Subject หรือประธานนั้นเติม s,es จะต้องตามด้วย V.1
ที่เป็นรูปปรกติค่ะ แต่เราต้องวิเคราะห์คำว่า dinosaurs
ที่แปลว่า ไดโนเสาร์
ซึ่งได้เกิดมาเป็นล้านๆปีแล้วเพราะฉะนั้นผู้พูดต้องการจะบอกว่ามันเป็นอดีตจ๊ะ
เพราะฉะนั้นคำว่า become จะต้องเปลี่ยนให้เป็นรูปอดีตซึ่งก็คือ became นั่นเอง
:D
2. Earthquakes that occur under or near
the ocean can to generate tidal waves
known as tsunamis.
A B
C D
ข้อ A คือ
or ทำหน้าืที่เป็น conjunction หรือว่าคำสันธานเรียกอีกอย่างว่าตัวเชื่อมค่ะ
ตัวเชื่อมในภาษาอังกฤษนั้นส่วนใหญ่จะถูกใช้ใน clause
ไว้ถ้าโมมีเวลาโมก็จะมาสอนเรื่อง cluase นะจ๊ะ :P ไอ้เจ้า Conj.
เนี่ยมันจะสามารถเชื่อมได้หลายอย่างละหนึ่งในนั้นก็คือ เชื่อม Preposition กับ
Preposition เข้าไว้ด้วยกัน น้องๆอาจจะสงสัยว่า Preposition คืออะไร
ไอ้ตัวนี้มันคือตัวที่วางไว้ข้างหน้านาม (Noun) หรือ กริยา (Verb)
หรือจะวางไว้หน้าสรรนาม (Pronoun)
ก็ได้ค่ะวางไว้เพื่อที่จะแสดงความสัมพันธ์ของคำสองคำนั้นค่ะ
หรือวางไว้เพื่อบอกทิศทาง ตำแหน่งของมันก็ได้ เช่น in, on, under etc.
มองย้อนกลับไปคำก่อนหน้า or ค่ะ คือคำว่า under ใช่มั้ยคะและอย่างที่โมบอกไปว่า
under เป็น Prep. และปรกติแล้วคำว่า or
จะเชื่อมของสองสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ หมายความว่า .....or..... จะแปลว่า
คำข้างหน้าจะมีความหมายคล้ายกับคำข้างหลัง เช่น it
seems to be verb or modal verb
หรืออีก รูปหนึ่งก็คือ ให้เลือกอย่างใดอย่างนึงเช่น Do you wantsugar
or salt? เป็นต้นค่ะ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ข้อ A ถูกแล้วจ้าาาา
:)
ข้อ B คือ the เป็น
article (a,an,the) ใช้นำหน้าคำนามทั้งหลายค่ะเพื่อเจาะจงสิ่งนั้นค่ะ
ละข้างหลัง the คือคำว่า ocean ซึ่งเป็นคำนามจึงทำให้ข้อนี้ถูกต้องแล้วจ้า
:D
ข้อ C เป็นข้อที่ผิดจ๊ะ เพราะว่าคำว่า can เป็น
modal verb ค่ะ คือ กริยาช่วยหรือ helping verb จะต้องต่อด้วยกริยาแท้ของประโยคหรือ
main verb เลยไม่สามารถจะตามด้วย to ได้ค่ะ จึงทำให้ข้่อนี้ผิดจ้าาา
!
3. It is well-known fact
that most people resists
change.
A B C D
ข้อ A ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยค่ะ
โดยปรกติแล้วประธานจะต้องตามด้วยกริยาเสมอค่ะ ในที่นี้ It คือประธานและ is
คือ กริยา ข้อนี้ก็ถูกแล้วค่ะ :D
ข้อ B คือ that ในประโยคนี้ทำหน้าที่เป็น
Conjunction หรือตัวเชื่อมจ้า โดยจะเชื่อมประโยคหลักและอนุประโยคเข้าไว้ด้วยกัน
โดยสังเกตว่าในประโยคนี้มี 2 ประโยคก็คือ It is well-known fact และ most people
resists change. โดยการใช้คำว่า that สามารถจะใช้ได้ครอบจักรวาลค่ะ
ไว้เรามาพูดถึงเรื่อง clause โมจะสอนการใช้ that แล้วกันนะคะ
สรุปว่าข้อนี้ถูกต้องแล้วค่ะ.
ข้อ
C เป็นข้อที่ผิดค่ะ เพราะว่าโดยปรกติตามหลักไวยกรณ์แล้ว
ถ้าประธานของประโยคเป็นพหูพจน์กริยาที่ตามมาจะต้องไม่เติม s หรือ es ค่ะ แต่ในข้อ C
คือ resists เติม s อยู่โดยที่ประธานเป็น people แปลว่า ผู้คนที่มากกว่าหนึ่ง
ซึ่งเป็นพหูพจน์จึงทำให้ข้อนี้ผิดเต็มๆเลยย ;)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น